ใครกันอาบัติ?  ทำให้ศาสนามัวหมอง

        พฤติกรรมที่เข้าข่าย "อาบัติ" ตามกรอบแห่งพระธรรมวินัย เรามาดูกันค่ะว่าเป็นยังงัย ขออ้างอิงที่เจ้าคุณเบอร์ลินท่านเขียนไว้ในเฟสบุคเมื่อ 10-02-2016 คัดมาที่ประเด็นโดนๆ เพราะรู้สึกว่าอ่านแล้วเข้าใจง่าย เห็นภาพ ชัดเจน แจ่มแจ้ง ทำให้ปุถุชนผู้ไม่เคยศึกษาพระวินัยหรือศึกษาแล้วไม่ลึกซึ้ง ได้ความกระจ่าง

*****วันนี้ ผมจะเอาพระวินัย เอาศีลของพระสงฆ์ ที่มีถึง 227 ข้อ ที่พระรูปไหนทำผิดแล้ว เรียกว่า "ต้องอาบัติ" มานำเสนอเพื่อเสริมภูมิปัญญากันครับ โดยจะขอหยิบเอาเฉพาะในส่วนที่สังคมสนใจ และเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบันมาพูดถึง...ยืนยันก่อนครับว่า ทั้งปวงนี้เป็นการแนะนำอบรมชี้แนะภายใต้ในหน้าที่พุทธสาวก ของ "พระราชาคณะ "ดังว่า..

*****"ขอพระคุณ จงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน และช่วยระงับอธิกรณ์" โดยไม่มีเจตนาจะไป "ปรับอาบัติใคร ๆ ทั้งสิ้น" ชัดเจนนะครับจะได้ไม่มาปรับอาบัติผม  หาว่าไปบอกอาบัติพระแก่อนุปสัมบัน หรือมาหาเรื่องใส่ร้ายผมอีก...............

***** ผมเห็นว่า ช่วงนี้ ชาวพุทธตื่นตัวกันมาก เพื่อร่วมป้องภัยพระศาสนา น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะ ที่จะได้เริ่มเอาของแท้ ๆ ของจริง ๆ ของพระพุทธบัญญัติ ที่เรียกว่า "พระธรรมวินัย" มาพูดกัน มาทำความเข้าใจกันสักที

"พวกบรรดาของเก้ ของแหกตาจะได้หมดเวลาเอามาอ้างหากิน สร้างความเสื่อมเสียต่อพระศาสนากันสักที".
***** มติ มส. ล่าสุด ผลักลงหลุมไปแล้วบทความเรื่อง "อาบัติ" ของผมครั้งนี้ ก็น่าเป็นดินกลบทับฝังไปเลย จะได้หมดเรื่องจะได้ไม่ไปเห่าหอนหนวกหูชาวบ้านเค้าอีก.

>>> เบื้องต้นตามที่จั่วหัวข้อไว้นั่น อยากฝากจะบอกพุทธอิสระไปทางนี้ หากท่านมาอ่านโพสต์ผมฉบับนี้ ว่า ..วันนี้ เรามาจัดเป็นวันแห่งความรู้ วันแห่งความจริง "เรามาถกวินัยพระ" เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชาวบ้านกันสักวันดีมัยครับ

>>> ขอบอกก่อนว่า วันนี้ผมมาดีนะครับ มาแบบมิตร มาในฐานะพระภิกษุในพุทธศาสนาเดียวกัน ส่วนภูมิธรรมนั้น มันเป็นของอยู่ภายในใจ เป็นนามธรรม อย่าเอามากล่าวอ้างกัน ให้เหม็นขี้ฟันเลยครับ
ผมไม่มีอะไรหรอก จำพวกคุณวิเศษวิเสโสอะไรน่ะ ผมมีแต่ใจครับ หัวใจที่บูชาถูกผิดเท่านั้น และไม่คิดร้ายต่อใครด้วย ต่อหน่อยว่า "ถ้าถูกก็ไม่ถอยเหมือนกันครับ".......

>>> ผมว่า ณ วันนี้ ชาวพุทธกำลังห่วงใยในกิจการพระศาสนา "เราในฐานะพุทธสาวก" เปิดใจให้กว้าง ๆ แฟร์ ๆ หน่อย อย่าทำเป็นคนแก่ขี้โมโหบ่อย ๆ อะไรนิดหน่อย ก็ขู่จะฟ้อง ขู่จะร้องเรียนตะพึดแบบนั่นไร้ประโยชน์ครับ ชาวบ้านเขาระอา และเดือดร้อนเปล่าๆ มาร่วมกันเปิดปัญญาให้ชาวบ้านที่เรากินข้าวเขาทุกวัน เอาบารมีกันดีกว่านะครับ เขาจะได้มีภูมิด้านนี้กับตัวเองป้องกันตนได้ ไม่ต้องมาโดนพระกะหล่อนแถกแถ แหกตาง่าย ๆ อย่างทุกวันนี้ 
ได้บุญเยอะเลยครับแบบนี้

>>> การพูดอธิบายในวันนี้ ถ้าหากมีการยกตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ หากมีชื่อพุทธอิสระ หรือมีเรื่องพาดพิงไปบ้างนั้น "ก็เพียงแค่ตัวอย่างทั้งสิ้น" ไม่ได้เจตนาไปปรักปรำใคร ๆ ทั้งสิ้น
หากไม่สบายใจ ก็ให้ถือว่าเป็นวิทยาทานนะครับ แล้วก็อย่าไปโยงมั่วให้ชาวบ้านงงว่า "เป็นเจ้าคุณ ไม่เป็นเจ้าคุณ" นั่นมันเริ่มส่อเจตนาไม่ดีกับคนฟังแล้วครับ

>>> วันนี้ ผมจะมาชวนคุยชวนถกในขณะที่คุณขู่จะฟ้องทุกวันนี้แหละ ส่วนเรื่องพระวินัยนี่ ก็อย่าคิดนำไปร้อง ปปช. หรือ DSI อีกนะครับ เขามึนเพราะคุณกันไปหมดแล้วตอนนี้ ฮาอีกนิด.

>>> เชิญชาวพุทธทุกท่าน ตามมาเอาความรู้กันครับ เป็นความรู้ที่หาไม่ได้จาก DSI แน่นอน (ขอเฉี่ยวสักหน่อย).
......
>>> วันนี้ ผมมีเวลา จึงเผอิญไปเปิดดูเฟสต์ ท่านพุทธอิสระ วัดอ้อน้อย กล่าวพาดพิงถึงผมว่า ผมจะไปปรับอาบัติ DSI ซึ่งเป็นฆารวาส พร้อมรำพันว่า บวชมา 40 ปี เพิ่งรู้ว่ามีงี้ด้วย "เลอะนะครับแบบนี้"
ทั้งขู่ว่า เสร็จจากฟ้องธัมมชโย ก็จะเป็นผมเป็นรายต่อไป ตรงนี้ขอแก้สั้น ๆ ว่า

 >>> คุณไปอ่านตรงไหนครับ จึงเข้าใจอย่างนั้น ผมว่าผมเขียนเข้าใจง่ายที่สุดแล้วนา เห็นชาวบ้านชาวเมืองเขาเข้าใจแจ่มแจ้งทุกคนนี่ครับ ทำไมคุณจึงเข้าใจไปงั้นละครับ.

>>> และไอ้ที่คุณบอกว่าบวชมา 40 ปี นั้น โกหกตาใสอีกแล้วนะครับ ไปนั่งตรองดู บวชครั้งสุดท้ายนี่ ถึงหรือยัง 40 ปีน่ะแต่ถ้าจะเฉไฉไปว่า "ข้านับชาติที่แล้วด้วยโว้ย" ก็ตามสบายครับหลวงปู่ เอาเป็นว่า ถ้าร่วมพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันละก็ "หากพุทธอิสระเจอผม ท่านต้องกราบผมก็แล้วกัน เพราะผมมีพรรษามากกว่า" นอกจากท่านจะมีพุทธเจ้าต่างหากอีกองค์เท่านั่นแหละ ก็เรื่องของคุณไป

>>> เข้าเรื่องสาระ "อาบัติ" พระแบบง่าย ๆ สไตร์เจ้าคุณเบอร์ลิน วันก่อนผมพูดเรื่องอาบัติในเฟรส มีคนปัญญาอ่อน แต่ใจไม่ดีคิดหาเรื่องใส่ร้ายผม ไปตีความว่า เจ้าคุณเบอร์ลิน จะไปปรับอาบัติ DSI โอ้ย โลกน้อ ทำไมทำให้คนมันเพี้ยนได้ขนาดนี้... มาเลยครับ ผมจะแจงให้ฟังที่ขั้นที่ละตอน พร้อมตัวอย่าง และหยิบยกพระวินัยมาประกอบให้จะจะเลย จะขอให้สิทธิที่ถูกพาดพิงมาตรงนี้เลย

>>> วันนี้ถึงเวลาที่ผม นึกอยากชี้ให้ชาวพุทธทราบรายละเอียด ในเรื่องอาบัติพระสักที เพื่อจะได้เป็นความรู้ ต่อไปจะได้ไม่ให้ถูกพระบ้าการเมืองหลอกตุ๋นอีก.

สาระ
>>> ขอขยายความเหตุเกิดจากอาบัติเล็ก ชักเข้าหาอาบัติหนัก
>>> นี่เป็นการชี้แนะ ไม่ใช่เป็นการไปปรับอาบัติ
เดี่ยวเกิดมีใครทะลึ่งกล่าวหาว่า เจ้าคุณเบอร์ลิน ไปบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน (ผู้ที่ไม่ใช่พระ) พาลจะไปร้อง DSI ให้มาปรับอาบัติเจ้าคุณเบอร์ลิน จะลำบากต้องแสดงคืนอาบัติก็จะยุ่ง.
>>> แต่การพูดเรื่องอาบัตินั้น มีความจำเป็นต้องยกตัวอย่างประกอบ เพื่อจะได้เห็นภาพชัดเจน และเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะเรื่องอาบัติเข้าใจยาก
>>> ไม่งั้นชาวพุทธก็จะถูกตบตาจากพระบ้าการเมืองอยู่เรื่อยหรอ ทั้งคณะสงฆ์เอง ก็ถูกหลอกตีกินอยู่เรื่อยไป.

กรณีแอบอ้างพระอักษรเกี่ยวข้องกับอาบัติ ดังนี้...

1. กรณีห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์ขึ้นมาใหม่นั้น
     >>> ตามพระธรรมวินัย หากการกสงฆ์ (อ่านว่า กา-รก-สงฆ์) หมายถึง พระภิกษุที่ได้รับมอบหมายจากสงฆ์ ให้มีหน้าที่ในกิจนั้นๆ
     >>> ได้วินิจฉัยอธิกรณ์ไปแล้ว เสร็จสิ้นแล้ว และสงฆ์ก็ยอมรับในคำวินิจฉัยนั้น
     >>> พระวินัยแจ้งชัดว่า ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์นั้นขึ้นมาใหม่.
     >>> ผู้ที่ไม่มีหน้าที่ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือไม่ได้เป็นผู้ฟ้องเดิม.
      >>> ภิกษุผู้ ไปรื้อฟื้นอธิกรณ์ขึ้นมาใหม่ ด้วยไม่ถูกใจตน ไม่ถูกใจพวกตน หรือด้วยขัดเคืองใจ เป็นอาบัติปาจิตตีย์.
      >>>> กรณีตัวอย่าง เช่น..พุทธอิสระ รื้อฟื้นอธิกรณ์ที่การกสงฆ์ทำเสร็จแล้วตามธรรม ตามวินัย ต้องเป็นอาบัติ "ปาจิตตีย์".


2. ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า
    >>> เรื่องที่ทำนั้นเป็นอาบัติปาจิตตีย์
   >>> แต่พุทธอิสระ ก็ยังขืนทำซ้ำเรื่องเดิมๆ
    >>> ใครห้ามก็ไม่เชื่อฟัง เป็นผู้ดื้อด้าน ว่ายากสอนยาก แสดงอาการอาฆาตมาตรร้าย สร้างความเอือมระอาแก่หมู่คณะ ชักเข้าหาอาบัติหนักเป็นสังฆาทิเสส เพราะเป็นคน "ว่ายากสอนยาก".
    >>> แม้สงฆ์เตือนครั้งที่ 1 ไม่เชื่อฟัง เป็น "อาบัติทุกฏ"

    >>> เตือนครั้งที่ 2 ยังไม่เชื่อฟัง ก็ให้ปรับเพิ่มขึ้นไปอีก เป็น "อาบัติถุลลัจจัย" โทษฐานดื้อด้าน มีพฤติกรรมชั่วหยาบ.
    >>> แม้เตือนครั้งที่ 3 ก็จะเป็นอาบัติหนัก ถึงขั้นสังฆาทิเสส
ต้องอาศัยความอนุเคราะห์จากสงฆ์จึงจะออกจากอาบัติสังฆาทิเสสข้อนี้ได้.

    >>> ข้อควรจดจำ คือ พุทธอิสระทำหยาบช้า(ถุลลัจจัย) ต่อสงฆ์ไว้มากมายขนาดนี้ แล้วไซ้
สงฆ์คณะไหนเลยจะอนุเคราะห์ให้พุทธอิสระออกจากอาบัติได้
    >>> ระวังนะครับ ลักษณะเช่นนี้สุดท้ายก็จะตายไปพร้อมกับอาบัติหนัก เข้าถึงทุคติวินิบาต เป็นที่สุด




3. กรณีตัวอย่างการพฤติชั่วหยาบ
   >>> พุทธอิสระนั้น มีพฤติกรรมทำลายพระวินัยเป็นอาจิณณ์
เพราะทำผิดซ้ำ ๆ ในเรื่องเดิมๆ กรณีใช้พระลิขิตรื้อฟื้นอธิกรณ์ คือ
     3.1 ไปยื่นสำนักนายก เป็นปาจิตตีย์ ๑ ข้อ.
     3.2 ไปยื่นดีเอสไอ เป็นปาจิตตีย์ อีก ๑ ข้อ.
     3.3 ไปยื่น ปปช เป็นปาจิตตีย์ อีก ๑ ข้อ
     3.4 ไปยื่นรัฐสภา เป็นปาจิตตีย์ อีก ๑ ข้อ
     3.5 ทุกครั้งที่ไปยืนแถลงข่าวในที่ต่างๆ กี่ ๆ ครั้ง เป็นอาบัติทุกๆ ครั้งที่แถลง.

4. การกระทำดังกล่าว ชื่อว่า ตะเกียกตะกายทำลายสงฆ์
ในเมื่อสงฆ์มีความสามัคคีพร้อมเพรียงกันอยู่ดีแล้ว ยังตะเกียกตะกายเพียรพยายามทำลายสงฆ์ให้แตกสามัคคี นี่หนักครับ เพราะเป็นอาบัติ "สังฆาทิเสส".


....

5 . ส่วนกรรม อันเป็น "อนันตริยกรรรม" สำหรับผู้ที่เข้าพวก เข้าขบวนการ พากันตะเกียกตะกายทำลายสงฆ์ก็ไม่พ้นอนันตริยกรรม เช่นเดียวกัน ขึ้นชื่อว่า อนันตริยกรรมเป็นกรรมหนักนัก
แม้แผ่นดินก็ไม่อาจทรงเขาไว้ได้.



6. สรูปอาบัติ "พุทธอิสระ"
   >>> ต้องอาบัติ ที่ชื่อว่า ปาจิตตีย์ เพราะเป็นผู้ไม่หลงเหลือความดีอยู่เลย.
  >>> ต้องอาบัติที่ชื่อว่า "ถุลลัจจัย" เพราะมีประพฤติกรรมชั่วหยาบ.
  >>> ต้องอาบัติที่ชื่อว่า "สังฆาทิเสส" 
เพราะเป็นผู้ว่ายากสอนยาก และเพราะเพียรพยายามตะเกียกตะกายทำลายสงฆ์ ข้อนี้จะต้องอาศัยความอนุเคราะห์จากสงฆ์จึงจะออกจากอาบัตินี้ได้.

7. ส่วนอาบัติกรณี กล่าวยืนยันพระลิขิตนั้น...ขอเตือนว่า ใคร ๆ จงอย่าไปเที่ยวยืนยันโดยเด็ดขาดเชียวนะว่าเป็น "ของจริง" เพราะนี่จะทำให้ "ผู้โจทก์" เป็นอาบัติ "สังฆาทิเสส" โดยทันที
โดยไม่มีใครต้องปรับอาบัติ...ข้อสำคัญนี้ หากไม่เชื่อก็ขอให้ DSI ลองไปถามพุทธอิสระดูว่า"เป็นจริงตามที่เจ้าคุณเบอร์ลินว่าหรือไม่".

.............ทั้งหมดนี้ ที่ผมอุตส่าห์เรียบเรียงแจงมานี้ เจตนาผมเพื่อสร้างความกระจ่างแก่ผู้เกี่ยวข้องให้ทราบด้วยกุศลเจตนา ตัวอย่างที่อ้างชื่อว่า "พุทธอิสระ" ในโพสต์นี้ ให้ถือว่าเป็นแค่สมมติ หรือแค่ตัวอย่างนะครับ เพราะคนเลวขนาดนี้ ผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีอยู่ในโลกปัจจุบันนี้หรอกครับแล้วหากผู้รู้ท่านใด พิจารณาแล้ว เห็นเจ้าคุณเบอร์ลิน พูดผิด อ้างผิด ขอเชิญโต้ตอบมา ด้วยกุศลเจตนา และปัญญาชนได้
"อันธพาล พวกอวดรู้ ไม่ต้อง"

.............เป็นไงครับ วันนี้ได้ความรู้กันไปเยอะเลยถือว่าพลิกวิกฤตมาเป็นโอกาสเสริมภูมิปัญญากันครับ เข้าทำนอง"รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม"นี่แหละครับ หน้าที่ของพระสงฆ์สาวกในพระพุทธศาสนาครับ

............ใครที่ยังไม่รู้ก็จะได้ตาสว่างต่อจากนี้ไปก็จะได้ ไม่ต้องโดนพระเก้แหกตาหลอกกินไปวัน ๆ อ้างโน่นอ้างนี่ อ้างถึงขนาดจะกู้หนี้กู้ชาติ กู้ศาสนาไปโน้น มั่วสิ้นดีประเภทโปรดไม่ขึ้น รู้ทั้งรู้ แต่ยังดัน ฝืนทำนี่ น่าประณามนะครับ ส่วนประเภทสุดท้าย ฝืนทำจนเป็นน้องพ่อ คือ "เป็นอาจิณ" นี่ผมว่าน่าจะไม่ต้องเรียกพระแล้วนะครับ.



Reviewed by Mali_Smile1978 on 19:57 Rating: 5

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ22 พฤษภาคม 2559 เวลา 23:01

    กระจ่างแจ้งครับกราบขอบพระคุณท่านเจ้าคุณเบอร์ลินที่ยกตัวอย่างได้อย่างชัดเจนครับ

    ตอบลบ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.